วัดปากอ่าวบางตะบูน เดิมประชาชนเรียกว่า “วัดนอก” เพราะคู่กับวัดปากลัด ซึ่งประชาชนเรียกว่า “วัดใน” ครั้นต่อมากระทรวงศึกษาธิการ ประกาศตั้งวัด ประมาณ พ.ศ. เท่าไรนั้นหลักฐานไม่ปรากฏชัด แต่ประชาชนมักจะเรียกสั้นๆ ว่า วัดปากอ่าว เพราะอยู่ดอนปากอ่าว ดังกล่าวแล้ว
ประวัติผู้สร้างวัด
พระครูญาณสาคร (แฉ่ง สีลปญญเถร นามสกุล สำเภาเงิน) เกิดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2422 ณ ตำบลบางตะบูนออก อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เป็นบุตรคนที่ 7 ของนายเฉย และนางทับ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 9 คน มี รายนาม ดังนี้ คือ
1. นายอั๋น สำเภาเงิน
2. นางสาย เข่งทอง
3. นายสิน สำเภาเงิน
4. นายแสง สำเภาเงิน
5. นายแบน สำเภาเงิน
6. นายเบี้ยว สำเภาเงิน
7. พระครูญาณสาคร (แฉ่ง สำเภาเงิน)
8. นางเป้า ฟังทอง
9. นายใจ สำเภาเงิน
เมื่อวัยเยาว์ พระครูญาณสาคร (แฉ่ง) ได้ศึกษาหนังสือไทย ณ วัดปากลัด ตำบลบางตะบูน อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี (สมัยก่อนยังไม่มีโรงเรียนจำต้องเรียนที่วัด) ต่อมาย้ายไปเรียนที่วัดทุ่ง ตั้งอยู่คลองปลายสวนทุ่ง ตำบลบางครก อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี จนมีความรู้ในการอ่าน เขียน ภาษาไทยและภาษาขอมได้ดี จึงออกมาช่วยบิดามารดาทำงานบ้าน
จนกระทั่งอายุครบ 20 ปี ได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2442 เวลา 14.15 น. ณ พัทธสีมาวัดปากลัด ตำบลบางตะบูน อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี (สมัยนั้นขึ้นอยู่กับอำเภอเขาย้อย)
มีพระอธิการคล้ำ วัดปากคลอง ตำบลบางครก อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์
มีพระอธิการทรัพย์ วัดเขาตะเครา ตำบลบางครก อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระกรรมวาจารย์
มีพระอธิการวัตร วัดปากลัด ตำบลบางตะบูน อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า สีลปญโญ จำพรรษาอยู่วัดปากลัด 1 พรรษา
แล้วไปจำพรรษาอยู่วัดเขาตะเครา 2 พรรษา แล้วไปจำพรรษาอยู่วัดปากคลอง ตำบลบางครก 5 พรรษา เพื่อศึกษาวิปัสสนามัฎฐาน ต่อมาพระอธิการเปลี่ยน วัดอุตมิงด์ ตำบลบ้านแหลม ได้อาราธนาให้ไปสอนอักษรขอม แล้วจำพรรษาอยู่ 1 พรรษา
ในพรรษานี้ ท่านคิดจะลาสิกขา จึงได้ไปหาพระอาจารย์ที่วัดพระทรง อำเภอเมืองเพชรบุรี เพื่อทำการลาสิกขา แต่พระอาจารย์ท่านสำรวจตรวจดวงชะตาแล้วเห็นว่าบุญบารมียังสูงส่งจักเป็นหลักชัยในพระพุทธศาสนาสืบไป ท่านจึงกลับใจมาบ้านเกิดเมืองนอนที่ตำบลบางตะบูน
ตลอดเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่ได้ประกอบแต่กรรมดีอยู่เสมอ เมื่อเป็นฆราวาสก็เป็นบุตรที่อยู่ในโอวาทของบิดามารดา เมื่ออยู่ในสมณเพศก็เป็นผู้ที่อยู่ในระเบียบวินัยของสงฆ์อย่างเคร่งครัด การที่ท่านวางตนได้โดยสม่ำเสมอเช่นนี้จึงทำให้ประชาชนชาวบ้านบางตะบูนและบริเวณใกล้เคียงเคารพเลื่อมใส และเมื่อท่านเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยอันดีงามและบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นตลอดมา ทำให้ท่านเป็นที่รักของชาวบ้านเหล่านั้นมาก เมื่อท่านประสงค์สิ่งใดก็ได้รับความร่วมมือจากประชาชนที่มีจิตศรัทธาเชื่อถือในตัวท่าน ช่วยกันสละทั้งกำลังกายและ ทรัพย์สิน ผลงานสำคัญที่ท่านได้กระทำไว้และเป็นอนุสรณ์อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
ในปี พ.ศ. 2450 ได้เชิญชวนพุทธศาสนิกชนตลอดวงศาคณาญาติทั้งหลาย ผู้มีจิตศรัทธาในบวรพุทธศาสนาร่วมกันสร้างวัดขึ้นที่บริเวณปากอ่าว ตำบลบางตะบูนออก ดังเด่นเห็นปรากฏในปัจจุบันนี้ ด้วยกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติโดยอเนกประการ ทางคณะสงฆ์มีองค์พระสังฆราชเป็นประมุข ทราบกิตติคุณในคุณานุภาพจึงรับการแต่งตั้งสมณศักดิ์ดังต่อไปนี้
1. ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌายะ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2467
2. ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูแฉ่ง และเป็นเจ้าคณะสงฆ์แขวงอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2480
3. ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูญาณสาคร เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2480
4. ได้รับแต่งตั้งเป็นสาธารณูปกร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2487
5. ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะสงฆ์ตำบลบางตะบูน เมื่อ พ.ศ. 2490
ตลอดมาจนถึง วันที่ 27 เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2506 เวลา 18.07 น. ท่านได้มรณภาพด้วยโรคชรา ณ .กุฏิเจ้าอาวาส วัดปากอ่าวบางตะบูน ตำบลปากอ่าวบางตะบูนออก อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ด้วยความสงบ สิริรวมอายุได้ 84 ปี 5 เดือน กับ 25 วัน นับเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของปวงชนชาวตำบลบางตะบูน และ บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย วัตถุมงคลของท่านนอกจาก เหรียญรุ่นหนึ่ง และรุ่นสองแล้ว ยังมีตะกรุดสาลิกาบินซึ่งเวลาปลุกเสกต้องกางมุ้งครอบ ม่ายงั้นบินหนีหมด ตะกรุดเดือนเพ็ญซึ่งต้องดำน้ำลงไปจารในคืนเดือนเพ็ญ เชือกคาดเอวกันอสรพิษ และลูกกระสุนคตอันนี้นักเลงกลัวท่านมากทำจากดินเหนียวปั้นลงอาคม ยิงยังไงก็โดนครับ นอกจากนี้ยังมีวัตถุมงคลอีกหลายชนิดซึ่งในปัจจุบันหาดูได้ยากมาก
|