บทพระราชปุจฉาวิสัชนาธรรม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
กับ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ได้เดินทางเข้ามาที่กรุงเทพฯ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงทราบข่าว
ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินไปที่วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อกราบนมัสการทันที
พระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันฐานและพระราชปุจฉาวิสัชนาธรรมกับหลวงปู่ฝั้น ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ท่านอาจารย์มากรุงเทพฯ รู้สึกเหนื่อยไหม ?
หลวงปู่ฝั้น : ขอถวายพระพร อาตมาถือเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องได้เคยฝึกมาสมัยออกปฏิบัติ
ครั้งแรกไม่มีรถยนต์ มีแต่เดินด้วยเท้า ขอถวายพระพร
สมเด็จพระนางเจ้าฯ:คนทุกวันนี้เข้าใจว่าตายแล้วไม่เกิดถ้าคนตายแล้วไม่เกิดทำไมมนุษย์จึงเกิดกันมาก?
หากเดียรัจฉานเขาพัฒนาตนเอง จะถึงขั้นเกิดเป็นมนุษย์ได้ไหม ?
หลวงปู่ฝั้น : ได้.. เกี่ยวกับจิตใจ ใจคนมีหลายนัย ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นสัตว์
ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเปรต ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นนรก ตัวเป็นมนุษย์ ใจเป็นนมุษย์หรือเทวดา
เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้า ก็มาจากคน
จะรู้ได้อย่างไร ให้นั่งพิจารณาดูที่ใจ ไม่อยู่ คิดโน่นคิดนี่นั่นแหละเรียกว่า มันไปต่อภพต่อชาติที่ว่าเกิด
ถ้าตายก็ไปเกิดตามบุญตามบาปที่ทำไว้
เป็นเปรต คือ ใจที่มีโมโห โทโส ริษยา พยาบาท
ใจนรก คือ ใจทุกข์ กลุ้มอกกลุ้มใจ
ใจเป็นมนุษย์ คือ ใจที่มีศีล ๕ มีทาน มีภาวนา
ใจเป็นเศรษฐี ท้าวพระยา มหากษัตริย์ คือ ใจดี
ใจเป็นเทวดา คือ มีเทวธรรม มีหิริความละอายบาป โอตตัปปะความเกรงกลัวบาปน้อยหนึ่งไม่อยากกระทำ
ใจเป็นพรหม มีพรหมวิหารธรรม
ใจว่างเหมือนอากาศ ใจพระอรหันต์ คือ ท่านพิจารณาความว่างนั้นจนรู้เท่า แล้วปล่อย เหลือแต่รู้
ใจพระพุทธเจ้า รู้แจ้งแทงตลอดหมดทุกอย่าง
หลวงพ่อเกษม เขมโก
สำนักสุสารไตรลักษณ์ อ.เมือง จ.ลำปาง
หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นพระนักปฏิบัติที่มีปฏิปทาแก่กล้า จัดได้ว่า
เป็นพระป่าธุดงธ์กรรมฐานสายภาคเหนือ ที่มีเอกลักษณ์เป็นของท่านเอง
การปฏิบัติสมถภาวนากรรมฐานของท่านนั้น เป็นแบบ "อุกฤษฏ์" คือ จริงจัง
และเคร่งครัดมาก เช่น อยู่อาศัยและภาวนาตามป่าช้ารกชัฏ บางครั้งก็นั่งภาวนากลางแดด
ที่ร้อนจัด หรือนั่งภาวนาท่ามกลางอากาศหนาวเย็นยามค่ำคืนในท้องถิ่นภาคเหนือ
หลวงพ่อเกษมจึงเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเหนือมาก ปกติท่านเป็นพระที่พูดน้อย
แต่คำพูดทุกคำล้วนแต่มีความหมายทั้งสิ้น ดังจะเห็นได้จากบทพระราชปุจฉาวิสัชนาธรรม
และพระธรรมเทศนาที่ท่านถวายแด่ในหลวง ในคำพูดสั้นๆนั้น ล้วนแต่มีความหมายที่บ่งบอกได้ว่า
หลวงพ่อเกษม คือ พระอริยเจ้าผู้รู้ธรรมอย่างแท้จริง
พระราชปุจฉาวิสัชนาธรรม
ระหว่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กับ หลวงพ่อเกษม เขมโก
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงตัดลูกนิมิต
ณ วัดคะตึกเชียงมั่น จังหวัดลำปาง พุทธศักราช ๒๕๒๑
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : หลวงพ่อประจำอยู่ที่วัดนี้หรือ ?
หลวงพ่อเกษม : ขอถวายพระพร อาตมาประจำอยู่ที่สุสานไตรลักษณ์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : อยากไปหาหลวงพ่อเหมือนกัน แต่หาเวลาไม่ค่อยได้ ได้ทราบว่าเข้าพบหลวงพ่อยากมาก
หลวงพ่อเกษม : พระราชาเสด็จไปป่าช้าเป็นการไม่สะดวก เพราะสถานที่ไม่เรียบร้อย
อาตมาภาพจึงมารอเสด็จที่นี่ ขอถวายพระพร มหาบพิตรสบายดีหรือ ?
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : สบายดี
หลวงพ่อเกษม : ขอถวายพระพร มหาบพิตรพระชนมายุเท่าไหร่ ?
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ได้ ๕๐ ปี
หลวงพ่อเกษม : อาตมาภาพได้ ๖๗ ปี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : หลวงพ่ออยู่ตามป่ามีความสงบ ย่อมมีโอกาสปฏิบัติธรรมได้มากกว่า
พระที่วัดในเมือง ซึ่งมีภารกิจเกี่ยวกับการปกครองและงานอื่นๆ จะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ?
หลวงพ่อเกษม : ขอถวายพระพร อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เพราะอยู่ป่าไม่มีภารกิจอย่างอื่น
แต่ก็ขึ้นอยู่กับศีลบริสุทธิ์ด้วย เพราะเมื่อศีลบริสุทธิ์ จิตไม่ฟุ้งซ่าน นิวรณ์ไม่ครอบงำ ก็ปฏิบัติได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : การปฏิบัติอย่างพระมีเวลามากย่อมจะได้ผลเร็ว ส่วนผู้ที่มีเวลาน้อย
มีภารกิจมาก จะปฏิบัติอย่างหลวงพ่อก็ไม่อาจทำได้ แล้วจะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร
เราจะหั่นแลกช่วงเวลาช่วงเช้าให้สั้นเข้าจะได้ไหม คือ ซอยเวลาออกจากหนึ่งชั่วโมงเป็นครึ่งชั่วโมง
จากครึ่งชั่วโมงเป็นสิบนาทีหรือห้านาที แต่ให้ได้ผล คือได้รับความสุขเท่ากัน ยกตัวอย่าง
เช่น นั่งรถยนต์จากเชียงใหม่มาลำปางก็สามารถปฏิบัติได้ หรือระหว่างที่มาอยู่ในพิธีนี้
มีช่วงเวลาที่ว่างอยู่ ก็ปฏิบัติเป็นระยะไปอย่างนี้ จะถูกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ อยากจะเรียนถาม ?
หลวงพ่อเกษม : ขอถวายพระพร จะปฏิบัติอย่างนั้นก็ได้ ถ้าแบ่งเวลาได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ไม่ถึงแบ่งเวลาต่างหากออกมาทีเดียว ก็อาศัยเวลาขณะที่ออกมา
ทำงานอย่างอื่นอยู่นั้นแหละ ได้หรือไม่ คือ ใช้สติอยู่ทุกขณะจิตที่เกิดดับ
ทำงานด้วยความรอบคอบ ให้สติตั้งอยู่ตลอดเวลา
หลวงพ่อเกษม : ขอถวายพระพร มหาบพิตรทรงปฏิบัติอย่างนั้นถูกแล้ว การที่มหาบพิตร
เสด็จพระราชดำเนินมาปฏิบัติงานอย่างนี้ ก็เรียกว่า ได้ทรงเจริญเมตตาในพรหมวิหารอยู่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น เช่นว่า มาตัดลูกนิมิตนี้ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม
ด้วยขี้เกียจมา จึงมีกำลังใจมาและเมื่อได้โอกาสได้เรียนถามพระสงฆ์ว่า การปฏิบัติธรรม
เป็นระยะเวลาสั้นๆ เป็นตอนๆ อย่างนี้จะได้ผลไหม อุปมาเหมือนช่างทาสีผนังโบสถ์
เขาทาทางนี้ดีแล้วพัก ทาทางโน้นดีแล้วพัก ทำอยู่อย่างนี้ก็เสร็จได้ แต่ต้องใช้เวลาหน่อย
จึงอยากเรียนถามว่า ปฏิบัติอย่างนี้จะมีผลสำเร็จไหม ?
หลวงพ่อเกษม : ปฏิบัติอย่างนั้นก็ได้ โดยอาศัยหลัก ๓ อย่าง คือ
มีศีลบริสุทธิ์ ทำบุญในชาติปางก่อนไว้มาก มีบาปน้อย ขอถวายพระพร
เจ้าคุณพระอิทรวิชยาจารย์ : ได้ตามขั้นของสมาธิ คือ อุปจารสมาธิ ได้สมาธิเป็นแต่เฉียดๆ
ขณิกสมาธิ ได้สมาธิเป็นขณะๆ เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ" ได้สมาธิแน่วแน่วแน่ดิ่งลงไปได้นานๆ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ครับ ที่หลวงพ่อว่ามีศีลบริสุทธิ์ ชาติก่อนทำบุญไว้มาก
อยากทราบว่าผมเกิดเป็นอะไร ได้ทำอะไรบ้าง จึงได้มาเป็นอย่างนี้ ?
หลวงพ่อเกษม : (หลวงพ่อยิ้มและนิ่ง แล้วหันมาทางพระครูปลัดจันทร์ กตปุญโญ
...ซึ่งเป็นผู้จดบันทึก... แล้วจึงค่อยตอบว่า) ตอบยาก !
พระครูปลัดจันทร์ : ขอถวายพระพร หลวงพ่อไม่อาจจะพยากรณ์ถวายมหาบพิตรได้
เจ้าคุณพระอินทรวิชยาจารย์ : พลวงพ่ออาจจะเกรงพระราชหฤทัยมหาบพิตรก็ได้ ขอถวายพระพร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : หลวงพ่อไม่ต้องเกรงใจว่าเป็นพระราชา ขอให้ถือว่า
สนทนาธรรมก็แล้วกัน ยินดีรับฟัง มีคนพูดกันว่า ชาติก่อนผมเกิดเป็นนักรบมีบริวารมาก
ถ้าเป็นอย่างนั้น ศีล ๕ จะบริสุทธิ์ได้อย่างไร การเป็นนักรบนั้นจะต้องได้ฆ่าคน สงสัยอยู่ ?
หลวงพ่อเกษม : (หันมากระซิบกับพระครูปลัดจันทร์ว่า) เอ..ใครทำนายถวายท่านอย่างนั้นก็ไม่รู้
เราไม่รู้ เราไม่มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ (ญาณหยั่งรู้อดีต และญาณหยั่งรู้อนาคต)
ตอบยาก...ต้องหลวงพ่อเมืองซิ
พระครูปลัดจันทร์ : ขอถวายพระพร หลวงพ่อยืนยันว่า มหาบพิตรมีศีลบริสุทธิ์และทรงมีบุญมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : เรื่องบุญกับกุศลนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ตามที่รู้ ผู้ทำบุญหรือผู้มีบุญ
ได้ผลแค่เทวดาอยู่สวรรค์ ผู้มีกุศลหรือทำกุศลมีผลให้ได้นิพพาน ถ้าอย่างนั้นที่ว่าพระราชามีบุญมาก
ก็คงได้แค่เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์เท่านั้น ไม่ได้นิพพาน ทำไมเราไม่พูดถึงกุศลกันมากๆ บ้าง
หลวงพ่อสอนให้คนปฏิบัติธรรมตามแนวปฏิบัติของหลวงพ่อบ้างหรือเปล่า ?
หลวงพ่อเกษม : ขอถวายพระพร อาตมาภาพได้ทราบว่าที่วัดปากน้ำ วัดมหาธาตุ
ก็มีสอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน มหาบพิตรเคยเสด็จไปบ้างไหม ?
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ทราบ แต่ไม่เคยไป หลวงพ่อสอนอย่างไร อยากฟังบ้าง
และอยากได้เป็นแนวปฏิบัติ เอาอย่างนี้ดีไหม มีเครื่องหรือเปล่า ?
พระครูปลัดจันทร์ : ขอถวายพระพร เครื่องเทปของวัดมี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ขอให้หลวงพ่อสอนตามแนวของหลวงพ่อที่เคยสอน จะสอนอะไรก็ได้
หลวงพ่อเกษม : ขอถวายพระพร มีเป็นพระเภทภาษิตคติธรรมต่างๆ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ห้ว : อะไรก็ได้ ขอให้เป็นคำสอนก็ใช้ได้
หลวงพ่อเกษม : ได้ ขอถวายพระพร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ขอนมัสการลา
หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย
(พระวิสุทธิญาณเถร)
วัดเขาสุกิม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย เป็นพระอริยเจ้าลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายของหลวงปู่มั่น
เดิมทางต้นสกุลท่านนับถือศาสนาพราหมณ์ แต่ตัวท่านเองนั้นสนใจพุทธศาสนามาตั้งแต่เยาว์วัย
ท่านได้เรียนรู้ธรรมะเรื่อง "มรณสติ" ตั้งแต่วัยเด็ก เพราะโยมมารดาเสียตั้งแต่ท่านอายุได้ ๒ ขวบ
เมื่อคุณตาที่อุปการะดูแลท่านได้ไม่นานนักมาเสียไปอีกคน ท่านจึงไปขออาศัยอยู่กับญาติ
ที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายและพี่สะใภ้ หลังจากไปอยู่ได้ไม่นาน พี่สะใภ้ก็มาเสียไปอีกคน
การที่ท่านได้เห็นคนที่รักและเคารพจากไปคนแล้วคนเล่านี้เอง ที่เป็นอุบายธรรมที่ทำให้ท่านได้เห็น
และพิจารณาจนเกิดความปลงสังเวชในชีวิต เพียงแต่หน้าที่ในขณะนั้นบังคับอยู่
ท่านจึงยังไม่ออกบวชตามประสงค์ เรื่อง "มรณสติ" นี้ ถือเป็นจุดเด่นของหลวงพ่อสมชาย
เพราะในที่สุดท่านก็ได้เผชิกับความตายด้วยตนเอง (เรียกว่า ตายแล้วฟื้น)
ท่านจึงพร่ำสอนธรรมะเรื่อง "มรณสติ" ให้ลูกศิษย์พิจารณาอยู่เสมอ
พระราชปุจฉาวิสัชนาธรรม
ระหว่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กับ หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย
เสด็จพระราชดำเนินในการประกอบพิธีเททองหล่อพระประธาน
ณ วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี
วันที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๐
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ผู้คนเขามาวัดทำไมกัน ?
หลวงพ่อสมชาย : ผู้มาวัดมาด้วยเหตุต่างๆกัน บางคนเป็นคนดีอยู่แล้ว มาวัดด้วยมุ่งทำความดี
ให้มากขึ้นด้วยการถือศีลภาวนา บางคนมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทางวัดเขาจะทำอะไรกันบ้าง
บางคนมาด้วยความตั้งใจจริงๆ ที่จะมาช่วยงานวัด เพราะเห็นว่าอยู่บ้านไม่มีธุระที่จะต้องทำ
บางคนก็มาด้วยเหตุที่ว่า อยู่บ้านมีแต่ปัญหา ล้วนแล้วแต่เบื่อหน่าย สู้มาวัดหาความสงบดีกว่า ก็มี
เรียกว่า มาวัดทำให้สบายใจ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ที่ว่าชาวบ้านเขาเบื่อหน่าย เขาเบื่ออะไรกัน ?
หลวงพ่อสมชาย : การเบื่อหน่ายของชาวบ้านมีสองอย่าง บางคนเบื่อการงานที่จำเจ ก็หาเวลามาวัด
เพื่อพักผ่อน เป็นการเบื่ออย่างไม่จริงจัง บางคนมีความเบื่อจริงๆ โดยเห็นว่าการเป็นอยู่ทางโลกนั้น
ถึงจะมั่งมีสามารถหาความสุขได้ทุกอย่างก็จริง ล้วนแต่เป็นความสุขชั่วคราว ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
เหมือนความสุขทางธรรม บ้างว่าเกิดมาแล้วก็หนีตายไม่พ้น ก่อนจะตายก็ควรทำอะไรๆ อันเป็นเหตุให้ตายดีมีความสุข ก็มี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : การสอนให้คนนึกถึงความตายนั้น ถ้าหากสอนไม่ดีแล้ว
ก็เป็นเหตุให้เกิดความเกียจคร้านในการแสวงหาเลี้ยงชีพ ทำให้เป็นคนจน เป็นภาระของสังคมได้
เพราะฉะนั้น ต้องระวังในการสอน อย่าให้เกิดผลร้าย
หลวงพ่อสมชาย : โดยปกติ พระจะสอนให้เห็นโทษของความมัวเมา ซึ่งเป็นตัวเหตุให้เกิดความเห็นผิดเป็นชอบ มักจะสอนให้คิดรู้เห็นในทางที่ถูกก่อน เช่น๑. อย่ามัวเมาในวัยว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่๒. อย่ามัวเมาในความไม่มีโรคมาเบียดเบียน๓. อย่ามัวเมาในชีวิตว่าเวลาของเรายังมีอยู่ด้วยเหตุดังถวายพระพรมาแล้ว ทางพระจึงสอนให้ทุกคนนึกถึงความตาย ถ้าไม่สอนให้เข้าใจถูกก่อนกลับจะเป็นผลร้ายดังพระราชปุจฉาโดยแท้ การเจริญมรณสตินั้น ชั้นต้นเพื่อให้รู้ว่าทุกคนหนีความตายไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็นคนมีคนจน มีความตายเหมือนกันทั้งนั้น สำหรับผู้ทำการภาวนาเจริญกรรมฐานเพื่อให้นิวรณ์สงบ ก็จำเป็นต้องพิจารณาเป็นอย่างๆไป ความตายคือนายเพชฌฆาตความตายคือต้องพลัดพรากจากสมบัติทุกอย่าง เขาตายเราก็ตายเหมือนเขาชีวิตเป็นของที่กำหนดเองไม่ได้ หรือจะกำหนดว่าอายุเท่านั้นเท่านี้จะต้องตาย ก็กำหนดไม่ได้ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
(พระราชวุฒาจารย์)
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
พระราชวุฒาจารย์ หรือ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น
หลวงปู่ดูลย์มีปฏิปทาธรรมที่เรียบง่าย จริงจัง มีเมตตาจิตต่อศิษยานุศิษย์และผู้อยู่ใกล้ชิดเสมอ
เอกลักษณ์ของท่านคือ ท่านเป็นพระที่พูดน้อยมาก คำพูดของท่านทุกคำมักจะกลั่นกรองแล้ว
จึงพูดออกมา และเป็นคำพูดที่ประกอบด้วยเมตตาเสมอ ท่านได้ปักหลักดำรงค์ขันธ์อยู่
เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับชาวพุทธแถบอีสานใต้ และเป็นที่เคารพบูชาของชาวพุทธ
แถบอีสานใต้ตลอดมา จนมีผู้พร้อมใจกันขนานนามท่านว่า "พระอรหันต์แห่งอีสานใต้"
พระราชปุจฉาวิสัชนาธรรม
ระหว่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กับ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : หลวงปู่ การละกิเลสนั้นควรจะละกิเลสอะไรก่อน ?
หลวงปู่ดูลย์ : กิเลสทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อน ให้ละอันนั้นก่อน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ขออาราธนาหลวงปู่ให้ดำรงขันธ์อยู่เกินร้อยปี
เพื่อเป็นที่เคารพของปวงชนทั่วไป หลวงปู่รับได้ไหม ?
หลวงปู่ดูลย์ : อาตมาภาพรับไม่ได้หรอก แล้วแต่สังขารเขาจะเป็นไปของเขาเอง
ทั้งนี้ เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า ชีวิตเป็นของน้อย จะตายเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ได้ ขอถวายพระพร หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
(พระราชสังวรญาณ)
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (พระราชสังวรญาณ) เป็นลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
ซึ่งถือว่าเป็นพระอาจารย์และสหธรรมิก (สหายธรรม) ของหลวงปู่มั่น อีกทั้งยังได้ปฏิบัติธรรมร่วมกับ
พระอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นท่านอื่นๆในสมัยนั้นอีกด้วย
พระราชปุจฉาวิสัชนาธรรม
ระหว่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กับ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ณ วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : คำว่า "ภาวนา" และ "บริกรรม" ต่างกันอย่างไรขอรับ คือ
เคยฟังพระเถระผู้ใหญ่ บอกว่า การภาวนานี้ไม่ว่าอยู่ที่ไหน แม้ไม่อยู่ในสมาธิ
แม้ทำอะไรก็สามารถทำได้อยู่ได้ตลอดเวลา ใช่ไหมขอรับ ?
หลวงพ่อพุธ : ใช่แล้ว คำว่า "ภาวนา" กับ "บริกรรม" มีต่างกัน ภาวนา หมายถึง การอบรม
คุณงามความดีให้เกิดขึ้น เป็นสมบัติของผู้อบรม เช่น อบรมใจให้มีความเลื่อมใส ในการบำเพ็ญภาวนา
ก็ได้ชื่อว่า ภาวนา แต่บริกรรมนั้น หมายถึง จิตของผู้ปฏิบัตินึกอยู่ใน คำใดคำหนึ่งโดยเฉพาะ
เช่น พุทโธ เป็นต้น ซ้ำๆ อยู่ในคำเดียวเรียกว่า "บริกรรม" บริกรรมก็คือส่วนของภาวนานั่นเอง
หลวงพ่อพุธ : เมื่อตะกี้ได้ถามอะไรอาตมาอีก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ภาวนาทำได้ตลอดเวลาทุกสถานที่หรือไม่
หลวงพ่อพุธ : การภาวนานี้ทำได้ตลอดเวลา ทุกที่ ทุกสถานที่ ไม่เลือกกาล ไม่เลือกเวลา
เช่น อย่างภาวนาในขั้นบริกรรมภาวนา เช่น ภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม
ทำ พูด คิด ตลอดทุกอิริยาบถ บริกรรมภาวนาพุทโธ พุทโธ ได้ ทีนี้ถ้าหากว่าไม่นึกบริกรรมภาวนา พุทโธ
การกำหนดรู้ทุกอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ทำ พูด คิด รู้อยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นการภาวนา
จุดมุ่งหมายของการภาวนา หรือบริกรรมภาวนา ก็อยู่ที่ความต้องการความมีสติสัมปชัญญะ
มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีแล้ว จิตก็มีสมรรถภาพ ในการคุ้มครองตัวเอง ให้ยืนยันอยู่ใน
ความเป็นอิสรภาพ ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นอิสรภาพโดยเด็ดขาดทุกอย่างก็ตาม ตราบใดที่จิตยังตกอยู่ในอำนาจ
ของอารมณ์กิเลสและสิ่งแวดล้อม จิตก็รู้ตัวว่ายังหย่อนสมรรถภาพอยู่ในอำนาจของสิ่งแวดล้อม
จิตก็ย่อมรู้ การบริกรรมภาวนา บางท่านเมื่อจิตไม่ตรงกับนิสัยบริกรรมภาวนาเป็นปีๆ จิตไม่สงบ
ก็มีอุบาย ที่จะปฏิบัติได้ คือ ต้องกำหนดรู้ดูความคิดของตนเองตลอดเวลาว่าเราคิดอะไรก็รู้ สิ่งที่คิด
มันหายไปก็รู้ อันใหม่เกิดขึ้นมาก็รู้ กำหนดรู้ตามไปเรื่อยๆ เมื่อจิตมีสติกำหนดตามรู้ความคิค
กำหนดทันความคิดของจิตเมื่อใด เมื่อนั้นจิตจะสงบเป็นสมาธิได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : คำว่า "วิญญาณ" หมายความว่า "ธาตุรู้" ใช่ไหมขอรับ ?
หลวงพ่อพุธ : คำว่า "วิญญาณ" คือ "ธาตุรู้" วิญญาณในเบญจขันธ์
หมายถึง วิญญาณรู้จากของ ๒ อย่างกระทบกัน เช่น
"ตา" กับ "รูป" กระทับกัน เกิดภูมิรู้ขึ้น เรียกว่า "จักขุวิญญาณ"
"เสียง" กับ "หู" กระทบกัน เกิดภูมิรู้ขึ้น เรียกว่า "โสตวิญญาณ"
"กลิ่น" กับ "จมูก" กระทบกัน เกิดภูมิรู้ เรียกว่า "ฆานวิญญาณ"
"ลิ้น" กับ "รส" กระทบกัน เกิดภูมิรู้ เรียกว่า "ชิวหาวิญญาณ"
"กาย" กับ "สิ่งสัมผัส" กระทบกัน เกิดภูมิรู้ขึ้นเรียกว่า "กายวิญญาณ"
"จิต" นึกคิด "อารมณ์" เกิดภูมิรู้ขึ้น เรียกว่า "มโนวิญญาณ" อันเป็นวิญญาณในขันธ์ ๕
ทีนี้ "วิญญาณ" ในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง "ปฏิสนธิวิญญาณ" คือ วิญญาณรู้ผุด รู้เกิด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : พอจิตนิ่ง ลมหายใจจะหายไป และคำภาวนาก็หายไปพร้อมกัน
แต่รู้สึกเช่นนี้เพียงเดี๋ยวเดียวก็หายไป ควรจะทำอย่างไรต่อไป ?
หลวงพ่อพุธ : เมื่อจิตสงบนิ่งลงไปแล้ว จิตจะสงบละเอียดไปถึงจุดที่เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ"
ลมหายใจก็ทำท่าจะหายขาดไป คำภาวนาก็หายไป พอรู้สึกว่ามีอาการเป็นอย่างนี้เกิดขึ้น
ก็เกิดอาการตกใจ แล้วจิตก็ถอนจากสมาธิ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา
ถ้ายังเสียดายความเป็นของจิตในขณะนั้น ให้กำหนดจิตพิจารณาใหม่ จนกว่าจิตจะสงบลงไป
จนกว่าลมหายใจจะหายขาดไป คำภาวนาจะหายไป ถ้าตอนนี้เราไม่เกิดเอะใจหรือเปลี่ยนใจขึ้นมาก่อน
จิตจะสงบนิ่งละเอียดลงไปกว่านั้น ในที่สุดจิตก็จะเข้าสู่"อัปปนาสมาธิ"อยู่ในขั้นตัวก็หายไปหมด
ยังเหลือแต่จิตรู้สงบสว่างอยู่อย่างเดียว ร่างกายตัวตนไม่ปรากฏ
แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น เมื่อลมหายใจหายไป คำภาวนาก็จะหายไป แล้วก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา
เลื่อนให้จิตมา "พิจารณา" พิจารณาโดย"เพ่ง"กำหนดลงที่ใดลงหนึ่ง จะบริเวณร่างกายลงที่ใดที่หนึ่ง
จะบริเวณร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น กระดูก พิจารณาจนจิตเห็นกระดูก แต่ตายังไม่เห็นก่อน
ให้พิจารณาจนจิตสงบเห็นกระดูกชัดเจน ในทำนองนี้จะทำให้จิตเป็นสมถกรรมฐานเร็วขึ้น
ซึ่งเคยมีตัวอย่างครูบาอาจารย์ให้คำแนะนำกันมา คือ ท่านอาจารย์องค์หนึ่งภาวนาพุทโธ มาถึง ๖ ปี
จิตสงบลงไป แต่ทำท่าว่าลมหายใจจะหายไป คำภาวนาก็หายไป แล้วสมาธิก็ถอนออก
จิตไม่ถึงความสงบสักที อาจารย์องค์นี้จึงไปถามอาจารย์อีกองค์หนึ่ง ซึ่งอาจารย์องค์นี้เป็นชีผ้าขาว
ไม่ได้บวชเป็นเณร ว่า "ทำอย่างไรจิตมันจะสงบดีๆ สักที" อาจารย์องค์นั้นก็ให้คำแนะนำ ว่า
"ให้เพ่งลงที่หน้าอก พิจารณาให้เห็นกระดูก โดยพิจารณาลอกหนังออก แล้วจึงจ้องจิตบริกรรม
ภาวนาลงไปว่า อัฐิ อัฐิ อัฐิ" อาจารย์ที่ถามจึงนำวิธีการนี้ไปปฏิบัติ ก็เกิดจิตสงบเป็นสมาธิ ในครั้งแรก
ก็มองเห็นเศษกระดูกตรงนั้น จิตมันก็นิ่งจ้องอยู่ตรงนั้น และผลสุดท้ายก็มองเห็นโครงกระดูกทั่วตัวไปหมด
ในเมื่อมองเห็นโครงกระดูกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง โครงกระดูกก็พังลงไปและสลายตัวไป สลายไปหมด
ยังเหลือแต่จิตสงบนิ่ง สว่างอยู่อย่างเดียว และในอันดับต่อไปนั้น จิตจะสงบนิ่ง สว่างอยู่เฉยๆ
ภายหลังเมื่อจิตสงบสว่างอยู่พอสมควรแล้ว ก็เกิดความรู้อันละเอียดขึ้นมาภายในจิต แต่ไม่ทราบว่าอะไร
มันมีลักษณะรู้ขึ้นมาแล้วก็ผ่านไป มันเหมือนกับกลุ่มเมฆที่มันผ่านสายตาเราไปนั่นแหละ จิตก็นิ่งเฉย
สงบนิ่ง สว่างอยู่ตลอดเวลา ที่มีให้รู้ให้เห็นก็ผ่านไปเรื่อยๆ
เราลองนึกภาพดูว่า ที่เกิดขึ้นเช่นนี้เรียกว่าอะไร อาการเป็นเช่นนี้เป็นภูมิรู้ภูมิปัญญาอย่างละเอียด
ของจิตเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความจริงที่อยู่เหนือสมมติบัญญัติ สภาวธรรมส่วนที่เป็นสัจธรรมเกิดขึ้นในจิต
ของผู้ปฏิบัติ มีแต่สิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ ซึ่งท่านอาจารย์มั่นเรียกว่า "ฐีติภูตัง" ซึ่งมีความหมายว่า
"ฐีติ" คือ ความตั้งเด่นของจิต อยู่ในสภาพที่สงบนิ่ง เป็นกิริยาประชุมพร้อมของอริยมรรค
ยังจิตให้บรรลุถึงความสุคติภาพโดยสมบูรณ์ เมื่อจิตประชุมพร้อม ภายในจิตมีลักษณะสงบ นิ่ง สว่าง
อำนาจของอริยมรรคสามารถปฏิบัติจิตให้เกิด ภูมิรู้ภูมิธรรมอย่างละเอียด ภูมิรู้ภูมิธรรม
ซึ่งเกิดขึ้นอย่างละเอียด ไม่มีสมมติบัญญัติ เรียกว่า "ภูตัง" หมายถึงสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่
โดยธรรมชาติของมันอย่างนั้น แต่ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไร
สงสัยต่อไปในเมื่อเราไม่สามารถจะเรียกว่าอะไร ทำอย่างไรเราจึงจะรู้สิ่งนั้น
พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไว้ แม้แต่ท่านแสดงธรรมจักรฯ ให้ภิกษุปัญจวัคคีย์ฟัง
เมื่อท่านอัญญาโกณฑัญญะรู้ธรรม เห็นธรรม ก็รู้แต่ว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา"
หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ
(พระราชสังวราภิมณฑ์)
วัดประดู่ฉิมพลี เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ (พระราชสังวราภิมณฑ์)
วัดประดู่ฉิมพลี โดยรู้จักผ่านชุดพระเครื่องอันโด่งดังของท่าน แท้จริงแล้ว
หลวงปู่โต๊ะเป็นพระอริยเจ้านักปฏิบัติ ที่มีปฏิปทาอันเรียบง่าย รักสันโดษ
การปฏิบัติธรรมของท่านเป็นไปอย่างราบเรียบ แต่หนักแน่นและจริงจัง
พระราชเสาวนีย์
ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ถึง หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ
เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๒๓ หลังจากเกิดเหตุการณ์เครื่องบินลำเล็กของการบินไทยตก
ที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีพระอริยเจ้าองค์สำคัญที่รับนิมนต์มาที่กรุงเทพฯ
ร่วมเดินทางมากับเครื่องบินลำนี้ด้วย เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้พระอาจารย์สายพระป่าธุดงค์กรรมฐาน
มรณภาพรวม ๕ รูป คือ พระอาจารย์วัน อุตตโม พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
พระอาจารย์สิงทอง ธัมมวโร พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม และพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม
ซึ่งพระอาจารย์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นพระอาจารย์นักปฏิบัติ ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นกลาง
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เคารพบูชา
สร้างความโศกพระทัยให้แก่ทั้งสองพระองค์เป็นอย่างยิ่ง จนเมื่อได้กราบนมัสการ
หลวงปู่โต๊ะ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงตรัสถามธรรมะเรื่องนี้กับท่าน
สมเด็จพระนางเจ้าฯ : รู้แล้วว่าคนเรานั้นตายเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น แต่กลับไปคิดว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายนั้น
ท่านปฏิบัติแต่กรรมดีเท่านั้น เลยมิได้คิดว่า พระอริยเจ้าท่านจะต้องมาประสบอุปัทวเหตุเช่นนี้
หลวงปู่โต๊ะ : โลกนี้เขาก็เป็นของเขาอย่างนี้แหละ ไม่มีอะไรที่ยึดถือได้ว่า "แน่นอน"ถ้าคนเรามีศัทธาว่า
พระพุทธองค์ท่านหยั่งรู้ซึ้งถึงโลกนี้เป็นอย่างดีด้วยพระปัญญาคุณของพระองค์ท่านเอง
พระพุทธองค์ทรงสงสารเมตตาสัตว์โลก ว่าเวียนวนอยู่ในความทุกข์ทรมานไม่มีที่สิ้นสุด
พระพุทธองค์ได้ทรงพบทางพ้นความทุกข์โดนสิ้นเชิงแล้วด้วยพระปัญญาคุณ
ทรงพระเมตตาบอกทางพ้นความทุกข์ให้แก่ทุกๆคน จะไปหาที่ไหนอีกล่ะ
ผู้ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาอันบริสุทธิ์ต่อมวลมนุษย์
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
หลวงปู่หลุย จันทสาโร
วัดถ้ำผาบิ้ง อ.วังสะพุง จ.เลย
เรื่องราวพระอรหันต์ทั้งสอง กับ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
พระคุณเจ้าทั้งสองทั้งองค์หลวงปู่แหวน และองค์หลวงปู่หลุย ล้วนแล้วเป็นศิษย์เอกหลวงปู่มั่นทั้งสิ้น
ได้อบรมธรรมจากหลวงปู่มั่นมาอย่างเข้มแข็ง ท่านทั้งสองเป็นพระหมดกิเลสแล้วสาธุ
เรื่องของหลวงปู่หลุย จันทสาโร
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่หลุยท่านได้มาพักที่วัดดอยแม่ปั๋ง กะว่าจะอยู่กับหลวงปู่แหวนไปสักพักนึงก่อน
เพราะว่าเป็นคนจังหวัดเลยด้วยกัน พออยู่ต่อมาหลวงปู่หลุยได้ยินข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จะเสด็จฯมากราบหลวงปู่แหวน หลวงปู่หลุยได้ยินดังนั้น ก็รีบไปอยู่ที่อื่น ไปอยู่ที่อำเภอแม่แตง
หลวงปู่หลุยท่านกลัวพูดกับพระราชามหากษัตริย์ไม่เป็น หลวงปู่หลุยท่านพูดว่า
"พูดกับพระราชาไม่เป็น นี่คอขาดบาดตายนะเรา เป็นพระป่าพระดงไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร"
ท่านพูดเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯมากราบหลวงปู่แหวนแล้ว หลวงปู่แหวนท่านก็พูดกับในหลวงว่า
หลวงปู่แหวน : ท่านหลุยก็มาอยู่นี่แหละ แต่หนีไปอยู่ที่แม่แตงแล้ว กลัวพูดกับพระราชามหากษัตริย์ไม่เป็น กลัวคอขาดบาดตาย ว่าอย่างนั้น
สมเด็จพระนางเจ้าฯ : ไม่เป็นอย่างนั้นดอกพระเจ้าข้า พวกดิฉันไม่ได้ถือยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรหรอกเจ้าข้า พูดแบบนี้ เป็นกันเองนี้แหละเจ้าข้า
สมเด็จพระนางเจ้าฯ : เมื่อดิฉันกลับจากที่นี้ไปแล้ว จะไปกราบหลวงปู่หลุยให้ได้ ไม่ต้องกลัวเจ้าข้า
ในหลวงท่านเสด็จมากราบหลวงปู่แหวนแต่ละครั้ง ตั้งแต่บ่ายสองโมง จนถึงหนึ่งทุ่มสองทุ่มเป็นประจำ
การเสด็จมาวัดดอยแม่ปั๋ง แต่ละครั้ง ถือเป็นการส่วนตัวพระองค์เอง
ครั้นต่อมาสมเด็จพระราชินีได้ให้ราชเลขาไปตามหาหลวงปู่หลุย ว่าท่านอยู่ที่ไหน ก็ทราบว่า
หลวงปู่หลุยท่านไปพักอยู่ที่วัดหลวงปู่ตื้อ หรือว่าวัดพระอาจารย์เปลี่ยน ผู้เขียนก็จำไม่ค่อยได้
สมเด็จพระราชินีก็ได้เสด็จฯไปกราบหลวงปู่หลุย ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่หลุยก็ได้เข้าๆ ออกๆ
อยู่กับพระราชวังตลอดมา ตราบเท่าหลวงปู่หลุยมรณภาพ อันนี้คือ ด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม
ที่เป็นพระมหากษัตริย์ไทยของเรา ได้เข้าไปถึงประชาชนทุกที่ทุกแห่งหนตำบลใดก็ตาม
มีพระเจ้าพระสงฆ์ที่ท่านได้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในป่าในเขาที่ไหนๆ ก็ตาม ท่านก็ย่อมเข้าถึงที่ทุกๆแห่ง
เรื่องของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
หลวงปู่แหวนได้ป่วยหนัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านได้อาราธนาให้ หลวงปู่แหวนไปรักษาตัว
ที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ ตึกสุจิณฺโณ ในหลวงท่านได้รับเอาหลวงปู่ไว้เป็นคนไข้ของพระองค์เอง
จนในวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๘ หลวงปู่แหวนท่านก็ได้ละขันธ์อย่างสงบนิ่ง ในเวลา ๒๑.๕๓ น.
ข่าวการมรณภาพของหลวงปู่แหวน ซึ่งตรงกับวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๘ ก็ได้ทราบถึงฝ่าละอองธุลี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เหมือนกับว่า
ดินฟ้าถล่มไปทั่วเมืองไทย ในหลวงก็ได้พระราชทานโกศหลวง และรดน้ำอาบศพ
ที่สถานพระราชทานปริญญาบัตร แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น ก็ได้มีบุคคลทั่วทิศานุทิศ
ไปเคารพศพหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ได้นำศพของหลวงปู่แหวนมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดดอยแม่ปั๋ง ตามเดิม
สิริอายุหลวงปู่แหวนได้ ๙๙ ปี ในหลวงท่านขออายุหลวงปู่แหวนให้ได้ ๑๒๐ ปี
แต่หลวงปู่ก็พูดกับในหลวงว่า เอาเพียง ๙๙ ปี ก็พอเถอะ มันลำบากผู้อยู่
แล้วก็ได้ ๙๙ ปี ตามที่ว่าเอาไว้จริงๆ อันนี้คือพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามธรรมวินัย
ของพระพุทธศาสนาแท้จริง ขอให้พวกเราทุกๆ คน จงนำเอาเป็นตัวอย่างของหลวงปู่แหวนนี้
ไว้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป ศาสนาของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปข้างหน้า
ประวัติความเป็นมาของ
"พระมงคลวิเสสกถา"
"พระมงคลวิเสสกถา" เป็นพระธรรมเทศนาสำคัญซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๔
เป็นพระธรรมเทศนาที่แยบคาย สอดแทรกกุศโลบายเพื่อถวายคำแนะนำแก่พระเจ้าแผ่นดิน
พระสงฆ์ที่จะรับพระราชทานถวายพระธรรมเทศนานี้ ส่วนใหญ่จะถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า
จะต้องเป็นสมเด็จพระสังฆราช นอกเสียจากว่าสมเด็จพระสังฆราชประชวร จึงจะขอพระบรมราชานุญาตโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเป็นสมเด็จพระราชาคณะองค์อื่นปฏิบัติหน้าที่แทน
เนื้อหาสำคัญในพระมงคลวิเสสกถาได้ยึดถือหลักพระธรรมใน "ทศพิธราชธรรม"
โดยจำแนกอธิบายต่างๆกันไป จึงเป็นบุญกุศลแก่ทุกๆท่าน ที่ได้รับทราบและได้อ่าน
พระธรรมเทศนาที่พระสงฆ์ท่านรับพระราชทานถวายแก่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินโดยเฉพาะ
................................................................
__________________
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นคือทุกข์